มร.เบน ฟาน เบอร์เดน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท รอยัลดัทช์เชลล์ กล่าวว่า “ยุทธศาสตร์หลักของเราคือการเดินหน้าในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนและส่งมอบคุณค่าให้กับผู้ถือหุ้นและลูกค้าของเรา ตลอดจนสังคมโดยรวม

เราต้องมอบผลิตภัณฑ์และบริการซึ่งเป็นที่ต้องการและมีความจำเป็นให้แก่ลูกค้า โดยเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ในขณะเดียวกัน เราจะใช้ความแข็งแกร่งขององค์กรที่มีรากฐานมั่นคงมาอย่างยาวนานในการต่อยอดสัดส่วนธุรกิจของบริษัทฯ ให้มีศักยภาพการแข่งขันสูง ในขณะที่เปลี่ยนผ่านไปสู่การเป็นธุรกิจที่ชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้เป็นศูนย์พร้อมกับการดูแลเคียงข้างสังคม

ไม่ว่าลูกค้าของเราจะเป็นภาคการขับขี่และคมนาคม ภาคครัวเรือน หรือภาคธุรกิจ เราจะใช้ศักยภาพระดับโลกควบคู่กับการเป็นแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจเพื่อเติบโตในตลาดที่มีความต้องการผลิตภัณฑ์และบริการด้านพลังงานสะอาดในระดับสูงที่สุด อีกทั้งยังจะดำเนินการบริหารความเสี่ยงเกี่ยวกับกระแสเงินสด ควบคู่กับการสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วย”

นับจากวันนี้เป็นต้นไป เชลล์จะผสานกลยุทธ์ สัดส่วนธุรกิจ และความมุ่งมั่นตั้งใจด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมภายใต้เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ Powering Progress อันประกอบด้วย การสร้างคุณค่าให้แก่ผู้ถือหุ้น การชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้เป็นศูนย์ การเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี และการเคารพต่อธรรมชาติ ทั้งนี้การปรับกลยุทธ์องค์กรเพื่อให้เชลล์สามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวจะดำเนินการใน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจเติบโต ธุรกิจเปลี่ยนผ่าน และธุรกิจต้นน้ำ

ความยืดหยุ่นทางการเงินและการเติบโตอย่างมีกำไรผ่านการจัดสรรเงินทุนอย่างเป็นระบบ

เชลล์เน้นย้ำความสำคัญของกระแสเงินสดเพื่อให้สามารถส่งมอบคุณค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นในปัจจุบัน พร้อมทั้งสร้างการเติบโตของคุณค่าสำหรับอนาคต ซึ่งครอบคลุมด้านต่างๆ ดังนี้

  • ดำเนินนโยบายเงินปันผลแบบก้าวหน้า โดยเพิ่มเงินปันผลต่อหุ้นประมาณ 4% ต่อปี ภายใต้การอนุมัติของคณะกรรมการบริหารบริษัทฯ
  • รักษางบประมาณการใช้จ่ายรายปีสำหรับอนาคตอันใกล้ซึ่งมีมูลค่า 19,000 - 22,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • ลดหนี้สุทธิให้เหลือ 65,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • ในการลดหนี้สุทธิให้เหลือ 65,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีเป้าหมายคือการให้ปันผลแก่ผู้ถือหุ้นทั้งหมดด้วยกระแสเงินสด 20 - 30% จากการดำเนินกิจการ ทั้งนี้การให้ปันผลที่มากขึ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นเป็นผลสัมฤทธิ์มาจากเงินปันผลแบบก้าวหน้าและการซื้อหุ้นคืนของเชลล์มีการเติบโตของงบประมาณการใช้จ่ายที่เป็นระบบและควบคุมได้ สมดุลกับการให้ปันผลเพิ่มเติมแก่ผู้ถือหุ้น พร้อมทั้งเสริมสร้างความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นให้กับงบแสดงฐานะการเงินของบริษัทฯ

ในอนาคตอันใกล้ เราคาดว่าจะรักษาค่าใช้จ่ายสำหรับดำเนินกิจการที่จำเป็นให้ไม่เกิน 35,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และจากการขายสินทรัพย์เพื่อให้เกิดมูลค่าเฉลี่ยปีละ 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเวลาผ่านไป ยอดคงเหลือจากการใช้จ่ายเงินทุนจะคืนกลับเข้าสู่แกนหลักของธุรกิจเพื่อการเติบโต ประมาณครึ่งหนึ่งของการใช้จ่ายเงินทุนส่วนที่เพิ่มเติม ขณะที่กระแสเงินสดจะมีแนวโน้มสอดคล้องกัน และในระยะยาวจะมีความเสี่ยงน้อยลงจากราคาน้ำมันและเชื้อเพลิง ซึ่งเชื่อมโยงกับการเติบโตของเศรษฐกิจในวงกว้าง

มุ่งหน้าสู่การชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้เป็นศูนย์: แนวทางบริหารจัดการคาร์บอนแบบครอบคลุม

เชลล์ เดินหน้าวิธีการที่จะบรรลุเป้าหมายในการเป็นธุรกิจพลังงานที่ชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้เป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2593 ควบคู่กับการสร้างความร่วมมือกับสังคมเพื่อบรรลุเป้าหมายเดียวกัน เป้าหมายดังกล่าวครอบคลุมการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากการดำเนินงานและการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯ จำหน่าย ที่สำคัญเป้าหมายดังกล่าวยังรวมไปถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากน้ำมันและเชื้อเพลิงของผู้ผลิตรายอื่นซึ่งเชลล์นำมาจำหน่ายให้แก่ลูกค้าด้วย เป้าหมายของเชลล์จึงรอบด้านและครอบคลุม

ทั้งนี้ เป้าหมายยุทธศาสตร์ Powering Progress ยังเป็นการส่งเสริมเป้าหมายอันท้าทายของสนธิสัญญากรุงปารีสว่าด้วยการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก ที่จะจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายในการชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้เป็นศูนย์ เชลล์มีแผนดำเนินการ ดังนี้:

  • เชลล์จะสานต่อเป้าหมายระยะสั้นในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในระหว่างขับเคลื่อนองค์กรไปสู่เป้าหมายภายในปี พ.ศ. 2593 โดยเชื่อมโยงกับค่าตอบแทนแก่พนักงานมากกว่า 16,500 คน อีกทั้งยังครอบคลุมเป้าหมายใหม่ที่จะลดปริมาณความเข้มข้นสุทธิของคาร์บอนลง 6 – 8% ภายในปี พ.ศ. 2566, 20% ภายในปี พ.ศ. 2573, 45% ภายในปี พ.ศ. 2578 และ 100% ภายในปี พ.ศ. 2593 โดยใช้บรรทัดฐานจากปี พ.ศ. 2559
  • เชลล์ยืนยันการคาดการณ์ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนในระดับสูงสุดเมื่อปี พ.ศ. 2561 โดยอยู่ที่ 1.7 กิกะตันต่อปี
  • เชลล์ยืนยันระดับการผลิตน้ำมันสุทธิสูงสุด คือเมื่อปี พ.ศ. 2562
  • เชลล์จะแสวงหาการเข้าถึงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นอีกปีละ 25 ล้านตัน ภายในปี พ.ศ. 2578 โดยเมื่อเร็วๆ นี้ เชลล์มีส่วนร่วมใน 3 โครงการด้านการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้แก่ โครงการ Quest ในประเทศแคนาดา (อยู่ระหว่างดำเนินการ) โครงการ Northern Lights ในประเทศนอร์เวย์ (อนุมัติแล้ว) และโครงการ Porthos ในประเทศเนเธอร์แลนด์ (วางแผนแล้ว) ซึ่งทั้ง 3 โครงการจะสามารถกักเก็บได้รวมกันถึง 4.5 ล้านตัน
  • เชลล์มุ่งมั่นในการส่งมอบโซลูชันส์พลังงานที่มีฐานจากธรรมชาติ สอดคล้องกับหลักปรัชญาว่าด้วยการหลีกเลี่ยงและการลดปริมาณ เพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนปีละประมาณ 120 ล้านตันภายในปี พ.ศ. 2573 ทั้งนี้ จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองคุณภาพระดับสูงสุด
  • เชลล์จะทำงานร่วมกับองค์กรอิสระต่างๆ ตัวอย่างเช่น Science Based Targets Initiative และ Transition Pathway Initiative ตลอดจนหน่วยงานอื่นๆ ในการพัฒนามาตรฐานสำหรับอุตสาหกรรมและดำเนินงานให้สอดคล้องกับมาตรฐานเหล่านั้น
  • ตั้งแต่การประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี พ.ศ. 2564 เชลล์นำเสนอแผนการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานให้แก่คณะผู้ถือหุ้นพิจารณาลงคะแนนเสียงเพื่อให้คำแนะนำทิศทางในการดำเนินธุรกิจ โดยเป็นองค์กรแรกในภาคอุตสาหกรรมพลังงานที่ดำเนินการดังกล่าว ในการนี้ บริษัทฯ จะอัพเดทแผนดังกล่าวทุกๆ 3 ปี เพื่อขอความคิดเห็นต่อความคืบหน้าที่เกิดขึ้นในแต่ละปีผ่านการลงคะแนนเสียง

ส่งมอบพลังงานพร้อมสร้างการเติบโตทางธุรกิจด้วยสัดส่วนธุรกิจที่สร้างการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน

เชลล์เป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญกับลูกค้า เราส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการให้แก่ลูกค้าในเชิงธุรกิจและอุตสาหกรรมมากกว่า 1 ล้านธุรกิจ รวมถึงผู้บริโภคกว่า 30 ล้านคนในแต่ละวันผ่านทางสถานีบริการน้ำมันจำนวนกว่า 46,000 แห่ง เชลล์ใช้ความเป็นแบรนด์ชั้นนำระดับโลก เครือข่ายระดับโลก และความเชี่ยวชาญในฐานะผู้ให้บริการแบบครบวงจรทั้งแก่ผู้บริโภคและลูกค้าเชิงธุรกิจ การมีธุรกิจอย่างครบวงจรในอุตสาหกรรมพลังงานตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ทำให้เราสามารถเลือกใช้ธุรกิจได้อย่างเหมาะสม รวมถึงต่อยอด และแลกเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ในแนวทางที่จะพัฒนาตลาด ลดต้นทุน ตลอดจนช่วยสร้างการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

เชลล์ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนธุรกิจ ในกลุ่มธุรกิจที่ใช้วัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดคาร์บอนในปริมาณต่ำอย่างมีนัยสำคัญภายในต้นทศวรรษ 2030 โดยธุรกิจต้นน้ำจะยังคงเดินหน้าในการจัดหาแหล่งพลังงานเพื่อส่งมอบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยสร้างกระแสเงินสดและเพิ่มมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นที่ร่วมลงทุน ขณะเดียวกันก็เพิ่มการลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่เติบโต เพื่อสร้างโอกาสในตลาดใหม่ๆ

ในระยะสั้น กลยุทธ์ของเชลล์คือการสร้างสมดุลให้กับธุรกิจต่างๆ ในแผนสัดส่วนธุรกิจ โดยลงทุนปีละ 5,000 – 6,000 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในกลุ่มธุรกิจเติบโต (ประมาณ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐในการทำตลาด และ 2,000 – 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในธุรกิจพลังงานทดแทนและโซลูชันส์ด้านพลังงาน), 8,000 – 9,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในกลุ่มธุรกิจเปลี่ยนผ่าน (ประมาณ 4,000 ล้านในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ และ 4,000 – 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในธุรกิจเคมีภัณฑ์) และราว 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในกลุ่มธุรกิจต้นน้ำ

กลุ่มธุรกิจเติบโต

การตลาด

ตั้งเป้าเพิ่มกำไรสุทธิให้อยู่ที่ราว 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปีพ.ศ. 2568 (จากเดิมที่ 4,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีพ.ศ. 2563) โดยจะบรรลุเป้าหมายด้วยการเพิ่มศักยภาพในตลาดที่องค์กรเป็นผู้นำอย่างในธุรกิจน้ำมันหล่อลื่น ซึ่งตั้งเป้าเพิ่มจำนวนผู้ใช้เป็น 40 ล้านคน จากสถานีบริการน้ำมันกว่า 55,000 แห่งทั่วโลก (เพิ่มจากเดิมที่ 30 ล้านคน จากสถานีบริการน้ำมันจำนวน 46,000 แห่ง) และสร้างการเติบโตให้แก่เครือข่ายธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในระดับโลก โดยเพิ่มจุดให้บริการชาร์จไฟฟ้าจำนวน 60,000 จุด เป็น 500,000 จุด ภายในปี พ.ศ. 2568

ในกลุ่มเชื้อเพลิงที่ผลิตคาร์บอนปริมาณต่ำ - สานต่อการเป็นผู้นำด้านการผลิตและจำหน่ายพลังงานชีวภาพ โดยในปีพ.ศ. 2562 เชลล์ได้จำหน่ายพลังงานชีวภาพมากกว่า 10,000 ล้านลิตร พันธมิตรผู้ร่วมทุนทางธุรกิจของเรา Raízen ซึ่งผลิตพลังงานคาร์บอนต่ำจากอ้อยในบราซิล ได้ประกาศการซื้อ Biosev ซึ่งการขยายธุรกิจในครั้งนี้ เพื่อเพิ่มความสามารถในการผลิตพลังงานทางเลือกไบโอเอทานอลของ Raízen ให้เป็น 50% หรือที่ 3,750 ล้านลิตรต่อปี หรือราวๆ 3% ของการผลิตทั่วโลก

ธุรกิจพลังงานทดแทนและโซลูชันส์ด้านพลังงาน

พลังงานไฟฟ้าแบบบูรณาการ - ตั้งเป้าขายพลังงานไฟฟ้า 560 เทราวัตต์ชั่วโมงต่อปีภายในปีพ.ศ. 2573 ซึ่งนับเป็น 2 เท่าของปริมาณไฟฟ้าที่ขายได้ในทุกวันนี้ เราคาดหวังที่จะส่งมอบไฟฟ้าให้แก่ลูกค้ารายย่อยและลูกค้าเชิงธุรกิจทั่วโลกมากกว่า 15 ล้านคนทั่วโลก โดยยังตั้งเป้าเป็นผู้นำด้านการส่งมอบพลังงานสะอาดรวมถึงบริการที่เชื่อถือได้ และจะยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตโดยลงทุนร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจที่จะช่วยต่อยอดและเน้นย้ำการเป็นผู้บริหารจัดการด้านพลังงานสะอาด

โซลูชันส์ด้านพลังงานที่มีธรรมชาติเป็นพื้นฐาน – คาดการณ์ว่าจะลงทุนราวๆ 100 ล้านดาลลาร์สหรัฐต่อปีในโครงการคุณภาพสูงที่น่าเชื่อถือและสามารถตรวจสอบได้ บนพื้นฐานของการสร้างการเปลี่ยนแปลงและความยั่งยืนให้แก่ธุรกิจ รวมถึงช่วยให้ลูกค้าดำเนินธุรกิจตามเป้าหมายที่จะไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่สิ่งแวดล้อม

ก๊าซไฮโดรเจน – สร้างการเป็นผู้นำของเชลล์ในกลุ่มธุรกิจก๊าซไฮโดรเจน โดยการพัฒนาสถานีชาร์จไฮโดรเจน เพื่อรองรับการคมนาคมและขนส่งของอุตสาหกรรมหนัก โดยตั้งเป้ามีส่วนแบ่งการตลาดธุรกิจพลังงานสะอาดไฮโดรเจนของโลกเป็นตัวเลขสองหลัก

กลุ่มธุรกิจเปลี่ยนผ่าน

ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ

เสริมความแข็งแกร่งในกลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ด้วยการเพิ่มวอลลุ่มและขยายตลาด จากการเลือกลงทุนในสินทรัพย์หรือกลุ่มธุรกิจ LNG ที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี เพื่อส่งมอบพลังงานมากกว่า 7 ล้านตันในแต่ละปี ซึ่งนับเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตและส่งมอบพลังงานก๊าซธรรมชาติเหลวภายในกลางทศวรรษนี้ ทั้งยังคงสนับสนุนลูกค้าให้ก้าวสู่การดำเนินธุรกิจที่ไม่ปล่อยมลพิษได้ด้วยการมอบพลังงานที่ให้คาร์บอนที่เป็นกลางอย่าง LNG

ธุรกิจเคมีภัณฑ์

เปลี่ยนผ่านการปล่อยมลพิษจากการดำเนินธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน 13 แห่ง สู่การสร้างสนามพลังงานและเคมีภัณฑ์ทรงประสิทธิภาพ 6 แห่ง เพื่อลดการผลิตพลังงานดั้งเดิมลง 55% ภายในปี พ.ศ. 2573 โดยมุ่งสร้างการเติบโตเชิงปริมาณของกลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์ให้กับสัดส่วนธุรกิจขององค์กร และเพิ่มกระแสเงินสดจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ในวงเงินประมาณ 1,000 – 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เปรียบเทียบจากแผนระยะกลางขององค์กร โดยจะผลิตเคมีภัณฑ์จากขยะรีไซเคิลหรือเคมีภัณฑ์หมุนเวียน และภายในปีพ.ศ. 2568 ตั้งเป้าผลิตเคมีภัณฑ์จากขยะพลาสติกให้ได้ 1 ล้านตันต่อปี

กลุ่มธุรกิจต้นน้ำ

มุ่งเน้นการสร้างคุณค่ามากกว่าในเรื่องของปริมาณ โดยเน้นการดำเนินธุรกิจอย่างเรียบง่ายและมีความยืดหยุ่น พร้อมปรับตัว โดยยังคงแสวงหาแหล่งพลังงานที่จะสร้างกระแสเงินสดได้อย่างต่อเนื่องจนถึงปี พ.ศ. 2573 พร้อมลดการผลิตน้ำมันอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทั้งนี้คาดการณ์ในการทยอยลดปริมาณการผลิตลง 1 – 2% ในแต่ละปี รวมถึงการลดการลงทุนในธุรกิจดังกล่าว ตลอดจนการลดปริมาณที่เป็นไปตามสภาวการณ์ปกติด้วย

ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับสื่อมวลชน กรุณาติดต่อ:

ฐิติภา ลักษณพิสุทธิ์

ผู้จัดการใหญ่
ฝ่ายสื่อสารองค์กร
บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด

เหมือนแพร วรรณศรี

ฮิลล์ แอนด์ นอลตัน สแตรทิจีส์ ประเทศไทย
โทรศัพท์: +662 627 3501 ต่อ 105
อีเมล์: MWannasri@hkstrategies.com

Cautionary Note

The companies in which Royal Dutch Shell plc directly and indirectly owns investments are separate legal entities. In this press release “Shell”, “Shell group” and “Royal Dutch Shell” are sometimes used for convenience where references are made to Royal Dutch Shell plc and its subsidiaries in general. Likewise, the words “we”, “us” and “our” are also used to refer to Royal Dutch Shell plc and subsidiaries in general or to those who work for them. These terms are also used where no useful purpose is served by identifying the particular entity or entities. ‘‘Subsidiaries’’, “Shell subsidiaries” and “Shell companies” as used in this press release refer to entities over which Royal Dutch Shell plc either directly or indirectly has control. Entities and unincorporated arrangements over which Shell has joint control are generally referred to as “joint ventures” and “joint operations”, respectively. Entities over which Shell has significant influence but neither control nor joint control are referred to as “associates”. The term “Shell interest” is used for convenience to indicate the direct and/or indirect ownership interest held by Shell in an entity or unincorporated joint arrangement, after exclusion of all third-party interest.

This press release contains forward-looking statements (within the meaning of the U.S. Private Securities Litigation Reform Act of 1995) concerning the financial condition, results of operations and businesses of Royal Dutch Shell. All statements other than statements of historical fact are, or may be deemed to be, forward-looking statements. Forward-looking statements are statements of future expectations that are based on management’s current expectations and assumptions and involve known and unknown risks and uncertainties that could cause actual results, performance or events to differ materially from those expressed or implied in these statements. Forward-looking statements include, among other things, statements concerning the potential exposure of Royal Dutch Shell to market risks and statements expressing management’s expectations, beliefs, estimates, forecasts, projections and assumptions. These forward-looking statements are identified by their use of terms and phrases such as “aim”, “ambition’, ‘‘anticipate’’, ‘‘believe’’, ‘‘could’’, ‘‘estimate’’, ‘‘expect’’, ‘‘goals’’, ‘‘intend’’, ‘‘may’’, ‘‘objectives’’, ‘‘outlook’’, ‘‘plan’’, ‘‘probably’’, ‘‘project’’, ‘‘risks’’, “schedule”, ‘‘seek’’, ‘‘should’’, ‘‘target’’, ‘‘will’’ and similar terms and phrases. There are a number of factors that could affect the future operations of Royal Dutch Shell and could cause those results to differ materially from those expressed in the forward-looking statements included in this press release, including (without limitation): (a) price fluctuations in crude oil and natural gas; (b) changes in demand for Shell’s products; (c) currency fluctuations; (d) drilling and production results; (e) reserves estimates; (f) loss of market share and industry competition; (g) environmental and physical risks; (h) risks associated with the identification of suitable potential acquisition properties and targets, and successful negotiation and completion of such transactions; (i) the risk of doing business in developing countries and countries subject to international sanctions; (j) legislative, fiscal and regulatory developments including regulatory measures addressing climate change; (k) economic and financial market conditions in various countries and regions; (l) political risks, including the risks of expropriation and renegotiation of the terms of contracts with governmental entities, delays or advancements in the approval of projects and delays in the reimbursement for shared costs; and (m) changes in trading conditions. No assurance is provided that future dividend payments will match or exceed previous dividend payments. All forward-looking statements contained in this press release are expressly qualified in their entirety by the cautionary statements contained or referred to in this section. Readers should not place undue reliance on forward-looking statements. Additional risk factors that may affect future results are contained in Royal Dutch Shell’s 20-F for the year ended December 31, 2017 (available at www.shell.com/investor and www.sec.gov ). These risk factors also expressly qualify all forward looking statements contained in this press release and should be considered by the reader. Each forward-looking statement speaks only as of the date of this press release, February 2021. Neither Royal Dutch Shell plc nor any of its subsidiaries undertake any obligation to publicly update or revise any forward-looking statement as a result of new information, future events or other information. In light of these risks, results could differ materially from those stated, implied or inferred from the forward-looking statements contained in this press release.

We may have used certain terms, such as resources, in this press release that United States Securities and Exchange Commission (SEC) strictly prohibits us from including in our filings with the SEC. U.S. Investors are urged to consider closely the disclosure in our Form 20-F, File No 1-32575, available on the SEC website www.sec.gov.