อะไรคือสาเหตุให้เครื่องจักรพัง?

หาคำตอบต่อคำถามข้างต้นนี้รวมทั้งแนวทางแก้ไขจากโรแนลด์ แบกเกอร์ ผู้ชำนาญการด้านการใช้งานผลิตภัณฑ์หล่อลื่นของเชลล์ซึ่งจะช่วยให้วิศวกรซ่อมบำรุงทั้งหลายทำงานได้ง่ายยิ่งขึ้น 
การทำให้เครื่องไฮดรอลิกสามารถเดินได้ตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ รวมทั้งการลดการหยุดงานสายการผลิต เป็นสิ่งที่ท้าทายทั้งวิศวกรซ่อมบำรุงและบริษัททั้งหลายที่อยู่ในภาคการผลิต

สาเหตุที่ทำให้เครื่องไฮดรอลิกต้องหยุดเดิน

จากการวิจัยของเชลล์ ผู้ซึ่งทำการผลิตน้ำมันไฮดรอลิกมาเป็นเวลากว่า 50 ปี  ชี้ให้เห็นว่า ปัญหาที่เกิดกับระบบไฮดรอลิกนั้นเกิดจาก

  • 70% ของน้ำมันไฮดรอลิกที่ใช้มีสภาพไม่สมบูรณ์
  • 10% จากการวิเคราะห์ปัญหาไม่ถูกต้องรวมทั้งไม่มีความรู้ดีพอที่จะทำการแก้ไข
  • 10% เกิดจากการติดตั้งระบบไม่ดี เช่น ชิ้นส่วนต่างไม่ได้เข้ากันพอดี ซีลรั่ว
  • 5% มาจากการใช้งานหนักเกินพิกัดที่เครื่องออกแบบมา
  • 5% มาจากหลากหลายสาเหตุที่ยังระบุไม่ได้แน่ชัด

 
ดังนั้นคุณภาพและความสามารถของน้ำมันไฮดรอลิกจึงมีผลสำคัญยิ่งต่อการทำงานของเครื่องจักร การแก้ไขปัญหานี้อย่างเหมาะสมจึงจำเป็นอย่างยิ่งในการเพิ่มผลผลิต หากวิเคราะห์เจาะลึกลงไปถึงรายละเอียดว่าอะไรบ้างที่มีผลต่อคุณภาพของน้ำมันไฮดรอลิกแล้ว ก็จะพบว่ามีหลายสาเหตุด้วยกัน

เชลล์ได้ทำการศึกษาผลที่ได้จาก Shell e-quip (โปรแกรมการดูแลสภาพเครื่องจักรของเชลล์) โดยตรวจสอบน้ำมันตัวอย่างที่เอาออกมาจากเครื่องจักรโดยตรง  พบว่าการปนเปื้อนและการกรองน้ำมันที่ไม่ดีเป็นสาเหตุหลักถึง 60% ของปัญหา  การสึกหรออย่างผิดปกติ 22%  การเสื่อมของน้ำมัน 12% และคุณภาพของน้ำมันเองอีก 6%

การได้มาซึ่งประสิทธิภาพสูงสุดของน้ำมันไฮดรอลิกและการลดเวลาหยุดเดินเครื่อง

หลีกเลี่ยงการประหยัดโดยใช้น้ำมันในปริมาณน้อยที่สุด
มีหลายสิ่งที่สามารถทำได้เพื่อที่จะเพิ่มคุณภาพและอายุการใช้งานของน้ำมัน ข้อสำคัญประการหนึ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงคือ การประหยัดโดยใช้น้ำมันในปริมาณน้อยที่สุด เพราะจะทำให้เกิดความเครียด (stress) ขึ้นในเนื้อน้ำมัน ซึ่งอาจทำให้อายุการใช้งานของน้ำมันลดลงได้ถึง 2,000-3,000 ชั่วโมงต่อปี ย่อมไม่คุ้มค่าแน่นอนเมื่อเทียบกับความประหยัดที่ได้จากการใช้น้ำมันน้อยลงเพียง 1 ถัง  โดยมาตรฐานแล้วคุณควรเติมน้ำมันลงไปประมาณ 75% - 100% ของปริมาตรถังบรรจุและทำการตรวจสอบระดับน้ำมันอย่างสม่ำเสมอ
 
ตรวจสอบน้ำมันและไส้กรองอย่างสม่ำเสมอ

การที่จะจัดการกับปัญหาของน้ำมันไฮดรอลิกก่อนที่มันจะสร้างปัญหาใหญ่ให้กับระบบ คุณควรทำการตรวจสอบน้ำมันของคุณอย่างสม่ำเสมอ  การตรวจสภาพน้ำมันจะทำให้เห็นตัว ชี้นำที่จะเกิดความบกพร่องต่อระบบของคุณได้ ก่อนที่จะเกิดปัญหาขึ้นจริงๆ

อีกสิ่งหนึ่งที่ควรพิจารณาคือค่าความแตกต่างของแรงดันที่มีต่อไส้กรอง โดยทั่วไปแล้วในไส้กรองมาตรฐานสภาพดี น้ำมันจะสูญเสียความดันในระดับ 0.6/0.8 บาร์ ขณะที่มันไหลผ่านกรอง เมื่อไส้กรองถูกใช้งานนานขึ้นจะมีการสะสมคราบตะกอนต่างๆ ทำให้เกิดการอุดตัน การสูญเสียความดันน้ำมันจึงมากขึ้นขณะเดียวกันก็ต้องการแรงขับจากปั๊มมากขึ้น  เพื่อที่จะส่งน้ำมันให้ไหลผ่านกรองไปให้ได้  ภาวะเช่นนี้จะเกิดขึ้นจนกระทั่งไส้กรองอุดตันใช้งานต่อไปอีกไม่ได้แล้ว  โดยทั่วไปแล้วเมื่อความดันขึ้นถึง 2.5 – 3.5 บาร์ มักจำเป็นจะต้องเปลี่ยนไส้กรองเพื่อให้ระบบทำงานต่อไปได้  อย่างไรก็ตามคุณ ควรเก็บสถิติ การเปลี่ยนไส้กรองของคุณและตรวจสอบกับคู่มือที่ผู้ผลิตเครื่องจักรให้มาว่าเป็นไปตามคำแนะนำหรือไม่  ทางที่ดีควรพิจารณาถึงสาเหตุที่ทำให้ต้องเปลี่ยนไส้กรองมากกว่าที่จะมาคิดว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนไส้กรองอีกแล้ว

การพิจารณาสภาพน้ำมันควบคู่ไปกับการกรองอากาศเข้าเครื่องก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการบำรุงรักษาคุณภาพของน้ำมันไฮดรอลิก  ความจริงประการหนึ่งที่ต้องระลึกไว้อยู่เสมอ คือ การกรองอากาศเข้าเครื่องนั้นมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการกรองน้ำมัน ปัญหาที่มักพบบ่อยๆในระบบที่ติดตั้งก้านสูบไฮดรอลิกที่ยาวหรือใช้ลูกสูบคือ มีการดึงอากาศเข้าไปในระบบ ในปริมาณมาก ต่อการทำงานแต่ละรอบ ซึ่งหมายถึงโอกาสที่มากขึ้นในการนำพาสิ่งปนเปื้อนและความชื้นเข้าไปในระบบ ซึ่งทำให้เกิดการสึกหรอและทำให้น้ำมันเสื่อมคุณภาพเร็วขึ้น ดังนั้นควรมีการติดตั้งกรองอากาศหรือหากเป็นไปได้ควรมีซิลิกาเจลด้วย เพื่อลดปริมาณสิ่งปนเปื้อนและความชื้นที่ไม่พึงประสงค์

เลือกระดับความหนืดที่เหมาะสม

ประการสุดท้ายที่ควรพิจารณา คือ คุณจำได้หรือไม่ว่าคุณได้ตรวจสอบการใช้มันไฮดรอลิกครั้งสุดท้ายเมื่อไร คุณแน่ใจหรือไม่ว่าน้ำมันที่อยู่ในระบบของคุณนั้นมีความหนืดตรงตามที่ผู้ผลิตเครื่องจักรต้องการ หากคุณใช้น้ำมันที่มีความหนืดสูงเกินไปนั่นหมายถึงความสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุเนื่องจากต้องสูญเสียพลังงานมากเกินไปในการปั๊มน้ำมัน และจะทำให้ต้องใช้เวลาอุ่นเครื่องนานกว่าปกติในตอนเช้า ปั๊มอาจขับน้ำมันได้ไม่เต็มที่ จะเกิดเสียงดังผิดปกติเนื่องจากระบบต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อเคลื่อนย้ายน้ำมัน ท้ายที่สุดจะได้ชิ้นงานที่ไม่สมบูรณ์

หากน้ำมันที่ใช้มีความหนืดต่ำเกินไป จะก่อปัญหาหลายประการ อาทิ ทำให้ปั๊มมีเสียงดัง ระบบสึกหรอมากขึ้น น้ำมันรั่วออกจากระบบมากขึ้น ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้เกิดต้นทุนที่เพิ่มขึ้นทั้งสิ้น 
 
กรณีศึกษาจากลูกค้าของเรา 
 
เพียงแค่พิถีพิถันกับการใช้น้ำมันไฮดรอลิกคุณก็สามารถประหยัดต้นทุนลงอย่างเห็นได้ชัด  เมื่อเร็วๆนี้เชลล์ๆ ได้เข้าไปช่วยเหลือลูกค้ารายหนึ่งที่ประสบปัญหาปั๊มไฮดรอลิกเสียหายอยู่บ่อยๆ ปั๊มมีอายุใช้งานเฉลี่ยอยู่ที่เพียง 6 เดือนในภาวะทำงานหนักเต็มที่   ปั๊มไฮดรอลิกของลูกค้ารายนี้ติดอยู่กับเครื่องฉีดพลาสติกขนาด 250 ตันใช้ผลิตถังโพลีพร็อพพีลีนขนาด 25 ลิตร และมี vane pump ด้วย  เครื่องฉีดเครื่องนี้มีอัตราการหยุดเดินมากที่สุดในโรงงาน

เครื่องฉีดพลาสติกนี้สามารถเดินงานได้เพิ่มขี้นอย่างเห็นได้ชัดและมีการหยุดเดินเครื่องเนื่องจากระบบไฮดรอลิกเสียหายน้อยลงกว่าปีก่อนถึง 75%  หากพิจารณาในแง่ของต้นทุน พบว่าเครื่องฉีดนี้สามารถใช้งานได้มากขึ้นถึง 73 นาทีต่อสัปดาห์และปั๊มก็ยังมีสภาพดีต่อเนื่องไปอีกถึง 12 เดือน  ความประหยัดจากการที่เครื่องเดินได้มากขึ้นคิดเป็นมูลค่า 270 ปอนด์ต่อสัปดาห์ และความประหยัดจากการลดความเสียหายของปั๊มคิดเป็นมูลค่า 1,500 ปอนด์ต่อปี  ทำให้บริษัทฯ นี้สามารถประหยัดต้นทุนโดยรวมได้ถึงปีละ 15,000 ปอนด์เลยทีเดียว

น้ำมันนั้นไม่ใช่สิ่งที่แพงที่สุดในระบบไฮดรอลิก แต่มันอาจช่วยให้คุณประหยัดต้นทุนด้านอื่นๆ ได้อีกมากหากเลือกใช้อย่างถูกต้อง